หลวงพ่อเทียนเคยคิดจะสึกจากความเป็นพระภิกษุ

"หลวงพ่อเทียนเคยคิดจะลาสิกขา สึกจากความเป็นพระ" (เหตุที่หลวงพ่อเทียนแต่งชุดดำนิกายเซน) 

ย้อนอดีตโดย ทวีเกียรติ โตจำเริญ (โต) กองทุนโตสื่อพระธรรม http://toesuepratam.blogspot.com/



ในสมัยปัจจุบันนี้ เครื่องแต่งกายนิกายเซนชุดสีดำดูจะไม่ค่อยแปลกตาแก่ชาวไทยเท่าไดนัก เพราะความนิยมในตัวพระนิกายเซนอย่างท่านติช นัชฮันในหมู่บ้านพลัม ฝรั่งเศส ออกจะเป็นกระแสที่ฮิตแรงมากอยู่  ใครๆ ก็นิยมอยากได้ไปฟังคำสอนและได้ปฏิบัติธรรมแนวทางของท่าน ซึ่งกล่าวถึงการสร้างสันติภาพด้วยการฝึกสติของแต่ละคน

แต่ถ้าเป็นในสมัยที่หลวงพ่อเทียนยังมีชีวิตอยู่ การแต่งสีดำดูจะเป็นเรื่องแปลกมากเลย  เนื่องจากในสมัยก่อนๆ คนไทยจะไม่สนใจกับพระในนิกายอื่นๆ เลย คิดว่าแบบเถรวาท ห่มจีวรสีเหลืองดูน่าเลื่อมใสที่สุด  พระที่แต่งกายสีอื่นๆ มาเทศน์สอน พวกเราจะไม่ศรัทธาเลื่อมใสกันนัก บางทีไม่เปิดใจฟังกันเลยก็ว่าได้ ยิ่งเป็นฆราวาสมาสอนธรรมะด้วย อาจไม่ศรัทธาตั้งใจฟังเท่ากับการฟังพระสอน  หลวงพ่อเทียนมีความคิดลึกซึ้งต่างไปจากพวกเราปุถุชนคนธรรมดา หรือเป็นปรีชาญาณของคนไม่รู้หนังสือ (มีบางท่านได้กล่าวไว้)  ในขณะที่การเผยแผ่ธรรมปฏิบัติแบบเจริญสติของท่านกำลังไปได้ดี มีคนศรัทธาการปฏิบัติธรรมอย่างหลวงพ่อมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  แต่มีเหตุการณ์วันหนึ่ง ท่านได้ประกาศตัวว่า "หลวงพ่อจะลา
สิกขาบท (สึกจากพระ) ออกมาเป็นฆราวาสสอนธรรมะ"  ญาติธรรมหลายๆคนที่ได้ฟังหลวงพ่อเทียนกล่าวดังนั้น หัวใจแทบช๊อค เหตุใดเล่าท่านจึงกล่าวเช่นนั้น  ...เรื่องมันมีอยู่ว่า...

ในราวปี พ.ศ.๒๕๒๖  การปฏิบัติธรรมเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น จนหลวงพ่อได้มีโอกาสไปเผยแพร่ธรรมที่ประเทศสิงคโปร์หลายครั้งด้วยกัน  มีโอกาสไปเทศน์ในวัดของพุทธศาสนานิกายเซน โดยมีลูกศิษย์ที่ติดตามไปแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ท่าน  หลวงพ่อเทียนยังได้พบกับ
พระอาจารย์ใหญ่ของเซนผู้หนึ่ง คือท่านยามาด้า โรชิ ยังมีโอกาสถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกอีกด้วย 

คำสอนของหลวงพ่อเทียนประทับใจชาวสิงคโปร์มาก โดยขณะที่ท่านเทศน์ในวัดเซน หลวงพ่อแต่งกายชุดพระเซนสีดำห่มทับจีวร เพื่อเพิ่มความศรัทธาแก่ผู้ฟัง ผู้เขียนยังได้เคยเห็นรูปของผู้ที่ติดตามไปด้วย
ถ่ายภาพท่านไว้  ในภาพหลวงพ่อเทียนแต่งชุดนิกายเซนสีดำ สองมือถือโซ่เส้นหนึ่งไว้ในขณะที่กำลังเทศน์ ผู้ที่ไปด้วยกล่าว หลวงพ่อเทียนเทศน์ว่า "การปฏิบัติธรรมเจริญสติแบบหลวงพ่อนี้ ต้องปฏิบัติให้มีความรู้สึกตัวต่อเนื่องดังโซ่เส้นที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ จะมีอานิสงส์ดับทุกข์ได้ภายใน ๓ เดือน หรือ  ๑ ปี อย่างนาน ๓ ปี จะพ้นทุกข์ในจิตใจได้อย่างแน่นอน ..."  แม้แต่การสอนในเมืองไทยในช่วงเวลานั้น ผมยังเคยได้ยินท่านเทศน์สอนอย่างนี้ด้วยเสมอๆ เช่นกัน

ในเวลานั้นผมกำลังศึกษาวิชาการถ่ายภาพอย่างมืออาชีพ แบบจัดไฟสตูดิโอ แต่ใช้อุปกรณ์ไฟแฟลชเล็กเพียง ๒ เครื่องเท่านั้น  หากมีโอกาสทำ ผมคิดจะถ่ายภาพโดยให้หลวงพ่อเทียนเป็นนายแบบ แล้วจะถ่ายภาพให้สวยงามที่สุดด้วย ให้สมกับท่านเป็นปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ  จึงรอวันหลวงพ่อเทียนมาที่กรุงเทพฯ

ผมตั้งใจจะถ่ายภาพท่านที่วัดสนามในซึ่งอยู่ใกล้บ้านผม  ขณะนั้นผมยังทำงานที่บริษัทในเวลากลางวัน จึงต้องถ่ายภาพท่านในเวลาหัวค่ำเท่านั้น ช่วงเวลานั้นหลวงพ่อเทียนเดินทางไปมาระหว่างจังหวัดเลยและกรุงเทพฯ เป็นประจำ จะพักอยู่กรุงเทพฯ เพียง ๔ - ๕ วันเท่านั้น  ผมจึงต้องทำงานรีบด่วน ในการนัดถ่ายภาพท่านให้เสร็จก่อนท่านกลับจังหวัดเลย  เมื่อนัดท่านได้แล้วผมก็ขนอุปกรณ์ถ่ายภาพไปที่วัดสนามใน โดยได้รับการช่วยเหลือขนของจากคุณวุฒิชัย  ทวีศักดิ์ศิริผล ประธานกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรม  ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการทำให้หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เป็นที่รู้จักโด่งดังแก่นักปฏิบัติธรรม ด้วยการร่วมกันพิมพ์หนังสือธรรมะคำสอนของหลวงพ่อเทียน เป็นหนังสือชุดแรกของท่าน เรื่อง "สว่างที่กลางใจ" เป็นหนังสือพิมพ์ขาย ซึ่งได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อเทียนโดยเฉพาะ หนังสือเรื่องนี้พิมพ์ออกได้ ๓ เล่มด้วยกัน ได้รับความนิยมมากทีเดียว ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเทียนเริ่มขจรไปทั่ว  น่าเสียดายในปัจจุบันไม่มีการอนุญาตให้พิมพ์ซ้ำหนังสือ "สว่างที่กลางใจ" ชุดนี้อีกแล้ว เนื่องจากไม่มีหลักฐานต้นฉบับเทปที่เทศน์ไว้ อันเป็นกฏเหล็กที่ต้องทำในการพิมพ์หนังสือของ
หลวงพ่อเทียนในปัจจุบัน

เมื่ออุปกรณ์ถ่ายภาพตั้งไว้พร้อมบนศาลาหลังแรกของวัดสนามใน ซึ่งเป็นศาลาอเนกประสงค์แบบผนังเปิดโล่ง แต่ด้วยวัดสนามในตั้งอยู่ในสวน ความมืดปกคลุมไปทั่วบริเวณ จึงเปรียบเสมือนอยู่ในห้องสตูดิโอถ่ายภาพมาตรฐานทีเดียว ภาพฉากหลังที่ได้จึงมืดสนิทสวยเด่น  ผมจึงนิมนต์หลวงพ่อเทียนมานั่งเป็นนายแบบถ่ายภาพ  ช่วงแรกๆ ถ่ายภาพท่านแบบห่มจีวรสีเหลืองตามปกติ เมื่อถ่ายไปไม่กี่ภาพ หลวงพ่อเทียนท่านสั่งให้ลูกศิษย์ไปนำชุดดำนิกายเซนมาให้ท่านใส่ถ่ายภาพด้วย ท่านได้เสื้อชุดเหล่านี้มาอย่างไรไม่ทราบ ผมก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ก็ถ่ายภาพให้ท่านไปตามปกติ ได้ภาพสวยงามมาก ดูหลวงพ่อเทียนเป็นดั่งปรมาจารย์แห่งการเจริญสติจริงๆ  ต่อจากนั้นก็ถ่ายภาพให้คนอื่นๆ ที่ร่วมอยู่ในกิจกรรมนี้ด้วย เช่น อาจารย์ทวีวัฒน์  ปุณฑริกวิวัฒน์ แห่ง ม.มหิดล ผู้ติดตามให้ความช่วยเหลือหลวงพ่อเทียนโดยตลอด , หลวงพี่สมชาย ผู้รับใช้ใกล้ชิดของหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นผู้ที่หลวงพ่อพลิกชีวิตให้พ้นจากอบายสิ่งชั่วได้ด้วยการแนะให้บวชพระ , คุณยุ่น สุวรรณา เพื่อนผู้สนใจปฏิบัติธรรม , รวมทั้งตัวผม ทวีเกียรติ โตจำเริญ ด้วย โดยให้คุณยุ่นช่วยถ่ายภาพให้ผม

                              

                              
ในวันต่อมา ผมได้อัดขยายรูปที่ถ่ายไว้แล้วนำไปให้หลวงพ่อเทียนและญาติธรรมชมในวัดสนามในอีก  แต่คราวนี้ไปได้ยินข่าวที่ทำให้พวกเราแทบช๊อค เป็นข่าวว่า "หลวงพ่อเทียนจะลาสิกขาบท (สึกจากพระ) จะอยู่อย่างอนาคาริก แต่งกายด้วยเสื้อชุดเซนสีดำที่ผมได้ถ่ายภาพไว้นั้นแหละ"  ข่าวนี้นานวันก็ยิ่งล่ำลือออกไปถึงลูกศิษย์ลูกหาหลายๆ คนด้วยกัน ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการจะสึกของหลวงพ่อเทียนด้วยกันทั้งนั้น  แต่ในช่วงเวลานั้นหลวงพ่อเทียนมักจะเทศน์ให้ฟังซ้ำๆกันว่า
"การปฏิบัติธรรมเจริญสตินี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น  ทั้งฆราวาส คนไทย คนอังกฤษ คนจีน คนอเมริกัน สามารถปฏิบัติธรรมแบบนี้ให้พ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น ไม่มีจำกัด"  เมื่อผมมีโอกาสสอบถามท่านเรื่องการสึกของท่านว่า "หลวงพ่อจะสึกไปทำไม อยู่ในผ้าเหลืองนี้ดีแล้วครับ พูดสอนใคร ผู้นั้นก็ต้องเชื่อฟัง"
หลวงพ่อเทียนตอบผมอย่างมั่นใจยิ่ง "หลวงพ่อจะพิสูจน์ว่า การปฏิบัติธรรมแบบหลวงพ่อนี้เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ  ผมจะสึกออกไปเพื่ออยู่อย่างฆราวาสปฏิบัติธรรมให้ดู ...."

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงที่อีกหลายคนไม่เคยทราบเลยว่า หลวงพ่อเทียนเคยคิดทำเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อพิสูจน์สัจธรรมที่ท่านพบแล้วว่า "ปฏิบัติธรรมเจริญสติแล้วจะพ้นทุกข์ได้จริง ไม่ว่าใคร....."  จึงเป็นที่มาของภาพที่หลวงพ่อเทียนแต่งกายชุดสีดำแบบพระนิกายเซนนั่นเอง  ซึ่งในสมัยนั้นพวกลูกศิษย์กลัวจะเป็นปัญหาในทางฝ่ายปกครองของพระสงฆ์ จึงไม่ได้เผยแพร่ภาพนี้ออกไปกันเท่าใดนัก เกรงผู้คนที่ไม่เข้าใจและกลุ่มที่จ้องโจมตีคำสอนของท่านตำหนิ จนกลายเป็นบาปกรรมติดตัวแต่ละคนไปหมดโอกาสได้เข้าถึงธรรมะปฏิบัติแบบลัดสั้นของหลวงพ่อเทียน  ส่วนรูปชุดเซนที่ถ่ายหลวงพ่อเทียนไว้ ผมได้เผยแพร่ออกไปเพียง ๒ รูปเท่านั้นเอง

ต่อจากนั้นไม่นานนัก หลวงพ่อเทียนจึงได้เลิกล้มความตั้งใจที่จะลาสิกขาบท ซึ่งอาจเป็นเพราะท่านฟังเสียงคัดค้านจากลูกศิษย์หลายฝ่ายไม่ไหวนั่นเอง ส่วนตัวผมนั้น ผมก็ไม่อยากให้หลวงพ่อสึกเช่นกัน แต่ผมเข้าใจความคิดของท่านดีว่า หลวงพ่อต้องการจะแสดงธรรมอย่างแบบเซน ไม่ให้พวกเราปฏิบัติธรรม
อย่างติดยึดในรูปแบบใดทั้งสิ้น

จาก ทวีเกียรติ โตจำเริญ  กองทุนโตสื่อพระธรรม http://toesuepratam.blogspot.com/



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น